หลักสูตร

การจัดประสบการณ์

การจัดประสบการณ์สำหรับเด็กปฐมวัยอายุ ๓ - ๖ ปี เป็นการจัดกิจกรรมในลักษณะบูรณาการผ่านการเล่น การลงมือกระทำจากประสบการณ์ตรงอย่างหลากหลาย เกิดความรู้ ทักษะ คุณธรรมจริยธรรม รวมทั้งเกิดการพัฒนาทางด้านร่างกาย อารมณ์ จิตใจสังคม และสติปัญญา ไม่จัดเป็นรายวิชาโดยมีหลักการและแนวทางการจัดประสบการณ์

๑. หลักการจัดประสบการณ์

  •  ๑.๑  จัดประสบการณ์การเล่นและการเรียนรู้อย่างหลากหลาย เพื่อพัฒนาเด็กโดยองค์รวม อย่างสมดุลและต่อเนื่อง
  •  ๑.๒  เน้นเด็กเป็นสำคัญ สนองความต้องการ ความสนใจ ความแตกต่างระหว่างบุคคลและบริบทของสังคมที่เด็กอาศัยอยู่
  •  ๑.๓  จัดให้เด็กได้รับการพัฒนา โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการเรียนรู้และพัฒนาการของเด็ก
  •  ๑.๔  จัดการประเมินพัฒนาการให้เป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง และเป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์ พร้อมทั้งนำผลการประเมินมาพัฒนาเด็กอย่างต่อเนื่อง
  •  ๑.๕  ให้พ่อแม่ ครอบครัว ชุมชน และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วมในการพัฒนาเด็ก


. แนวทางการจัดประสบการณ์

  •  ๒.๑  จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับจิตวิทยาพัฒนาการและการทำงานของสมอง ที่เหมาะกับอายุ วุฒิภาวะ และระดับพัฒนาการ เพื่อให้เด็กทุกคนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพ
            โรงเรียนได้ใช้ แนวคิดเกี่ยวกับการออกแบบการจัดประสบการณ์  ยึดหลักแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับการทำงานของสมอง (Brain-based Learning) ตรงตามหลักสูตรการศึกษาปฐมวัย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่สัมพันธ์และสอดคล้องกับพัฒนาการทางสมอง โครงสร้างและการทำงานของสมองที่มีการพัฒนาอย่างเป็นลำดับขั้นตามช่วงวัย  และมีความยืดหยุ่นทำให้การพัฒนาสมองเกิดขึ้นได้ตลอดชีวิต การเชื่อมโยงต่อกันของเซลล์ที่เป็นเครือข่ายซับซ้อนและหนาแน่นจะเกิดขึ้นก่อนอายุ ๕ ปี ซึ่งเมื่อเซลล์สมองและจุดเชื่อมต่อเหล่านี้ได้รับการกระตุ้นมากขึ้นเท่าใด ยิ่งทำให้สมองมีความสามารถในการเรียนรู้อย่างรวดเร็วและจดจำได้มากขึ้น ( คู่มือหลักสูตร BBL พุทธศักราช ๒๕๖๐  )
  •  ๒.๒  จัดประสบการณ์ให้สอดคล้องกับแบบการเรียนรู้ของเด็ก เด็กได้ลงมือกระทำ เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้า ได้เคลื่อนไหว สำรวจ เล่น สังเกต สืบค้น ทดลอง และคิดแก้ปัญหาด้วยตนเอง
          การเรียนรู้ของเด็กปฐมวัยต้องเรียนรู้ผ่านการเล่น  เรียนรู้จากประสบการณ์จริง เรียนรู้ผ่านประสาทสัมผัสที่หลากหลาย  เรียนรู้จากของจริงไปหาสัญลักษณ์จากง่ายไปยาก จากรูปธรรมไปสู่นามธรรม
    โดยคำนึงถึงความสามารถตามวัยและพัฒนาการเป็นหลัก
  •  ๒.๓  จัดประสบการณ์แบบบูรณาการ โดยจัดประสบการณ์การเรียนรู้บูรณาการผ่านสาระการเรียนรู้ที่ประกอบไปด้วยกิจกรรม ทักษะ ได้แก่
    เรื่องราวที่เกี่ยวกับตัวเด็ก เด็กควรเรียนรู้ อาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย ต้มจืดวุ้นเส้นหมูสับ  ไข่พะโล้     ข้าวต้มทรงเครื่อง  ข้าวผัดไข่  อาหารที่มีประโยชน์ในท้องถิ่น หรืออาหารที่เด็กควรรู้จัก   ไข่เค็มดินสอพอง  ข้าวแตนน้ำแตงโม  หมูส้ม  ผัดไทยโบราณ 
    เรื่องราวเกี่ยวกับบุคคลและสถานที่แวดล้อมเด็ก เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวบุคคลในชุมชน ได้แก่ พ่อค้า-แม่ค้า  ครู แพทย์  พยาบาล  ตำรวจ  ทหาร  เช่น  และ สถานที่สำคัญในชุมชนได้แก่  โรงเรียน  โรงพยาบาล  ที่ว่าการอำเภอ  การประปา  สถานีตำรวจ  วัด   อาชีพของคนในชุมชนได้แก่ เกษตรกร  เช่น ทำไร่ ทำนา  รับจ้าง  ศาสนาที่เด็กนับถือ ได้แก่   ศาสนาพุทธ  อิสลาม   แหล่งวัฒนธรรมในชุมชน ได้แก่  วัดเขาสมโภชน์   วัดเขาถ้ำปรางค์  พระปรางค์สามยอด  วังนารายณ์  ศาลพระกาฬ  แหล่งเรียนรู้จากภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้แก่ บ้านท่าดินดำ (การทอเสื่อ) บ้านท่ามะนาว ( การสานเข่งปลาทู ) สัญลักษณ์สำคัญของชาติไทยและการปฏิบัติตามวัฒนธรรมท้องถิ่นและความเป็นไทย  ได้แก่ วันแห่เจ้าพ่อเจ้าแม่ลำนารายณ์    ประเพณีรำโทน  ประเพณีการเลี้ยงเจ้าบ้าน  เทศกาลกินปลา ชิมพุทรา ตำบลชัยบาดาล 
    ธรรมชาติรอบตัว เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวสัตว์ในท้องถิ่นที่เด็กควรรู้จักได้แก่   วัว   ควาย   แพะ    พืชในท้องถิ่นที่เด็กควรรู้จักได้แก่   ข้าว  ข้าวโพด  มันสำปะหลัง  อ้อย  ทานตะวัน   ศูนย์การเรียนรู้วิถีพอเพียงและ แหล่งเรียนรู้ธรรมชาติในท้องถิ่น ได้แก่ ป่าสักฮิลล์ไซด์  สวนรุกชาติน้ำตกวังก้านเหลือง   เขื่อนป่าสักชลสิทธิ์
         สิ่งต่างๆ รอบตัวเด็ก  เด็กควรเรียนรู้เกี่ยวกับ ยานพาหนะ การคมนาคมในชุมชนที่เด็กควรรู้จักได้แก่  การคมนาคมทางบก   รถไฟ  รถราง  รถพ่วง  เทคโนโลยีและการสื่อสารต่างๆ ที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวันอย่างประหยัด ปลอดภัยและรักษาสิ่งแวดล้อม เช่น โทรศัพท์
         ประสบการณ์สำคัญด้านร่างกาย  อารมณ์-จิตใจ สังคม และสติปัญญาโดยออกแบบการจัดประสบการณ์ และกิจกรรมที่ทำให้เกิดความหลากหลาย  ภายใต้สาระการเรียนรู้ทั้งสาระการเรียนรู้และประการณ์สำคัญ  โดยคำนึงถึงธรรมชาติของเด็กที่เรียนรู้ผ่านการเล่น การลงมือปฏิบัติ  การสำรวจ  การทดลอง (  คู่มือหลักสูตร พุทธศักราช ๒๕๖๑ หน้า ๖ )
  •  ๒.๔  จัดประสบการณ์ให้เด็กได้คิดริเริ่ม วางแผน ตัดสินใจลงมือกระทำ และนำเสนอความคิดโดยผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้สนับสนุนอำนวยความสะดวก และเรียนรู้ร่วมกับเด็ก
  •  ๒.๕  จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับเด็กอื่น กับผู้ใหญ่ ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ในบรรยากาศที่อบอุ่น มีความสุข และเรียนรู้การทำกิจกรรมแบบร่วมมือในลักษณะต่างๆ กัน
  •  ๒.๖  จัดประสบการณ์ให้เด็กมีปฏิสัมพันธ์กับสื่อและแหล่งการเรียนรู้ที่หลากหลายและอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก สอดคล้องกับบริบท สังคม และวัฒนธรรมที่แวดล้อมเด็ก
  •  ๒.๗  จัดประสบการณ์ที่ส่งเสริมลักษณะนิสัยที่ดีและทักษะการใช้ชีวิตประจำวัน ตามแนวทางหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง ตลอดจนสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม และการมีวินัย ให้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดประสบการณ์การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
  •  ๒.๘  จัดประสบการณ์ทั้งในลักษณะที่มีการวางแผนไว้ล่วงหน้าและแผนที่เกิดขึ้นในสภาพจริงโดยไม่ได้คาดการณ์ไว้
  •  ๒.๙  จัดทำสารนิทัศน์ด้วยการรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับพัฒนาการและการเรียนรู้ของเด็กเป็นรายบุคคล นำมาไตร่ตรองและใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาเด็กและการวิจัยในชั้นเรียน
  •  ๒.๑๐ จัดประสบการณ์โดยให้พ่อแม่ ครอบครัว และชุมชนมีส่วนร่วม ทั้งการวางแผน การสนับสนุนสื่อ แหล่งเรียนรู้ การเข้าร่วมกิจกรรม และการประเมินพัฒนาการ


๓.การจัดกิจกรรมประจำวัน

กิจกรรมสำหรับเด็กอายุ ๓ ปี - ๖ ปีบริบูรณ์ สามารถนำมาจัดเป็นกิจกรรมประจำวันได้หลายรูปแบบ เป็นการช่วยให้ผู้สอนหรือผู้จัดประสบการณ์ทราบว่าแต่ละวันจะทำกิจกรรมอะไร เมื่อใด และอย่างไร ทั้งนี้ การจัดกิจกรรมประจำวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน การจัดกิจกรรมประจำวันมีหลักการจัดและขอบข่ายของกิจกรรมประจำวัน ดังนี้

  • ๓.๑  หลักการจัดกิจกรรมประจำวัน

    ๑. กำหนดระยะเวลาในการจัดกิจกรรมแต่ละกิจกรรมให้เหมาะสมกับวัยของเด็กในแต่ละวัน แต่ยืดหยุ่นได้ตามความต้องการและความสนใจของเด็ก เช่น
                            วัย ๓-๔ ปี มีความสนใจประมาณ ๘-๑๒ นาที
                            วัย ๔-๕ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๒-๑๕ นาที
                            วัย ๕-๖ ปี มีความสนใจประมาณ ๑๕-๒๐ นาที
    ๒. กิจกรรมที่ต้องใช้ความคิดทั้งในกลุ่มเล็กและกลุ่มใหญ่ ไม่ควรใช้เวลาต่อเนื่องนานเกินกว่า ๒๐ นาที
    ๓. กิจกรรมที่เด็กมีอิสระเลือกเล่นเสรี เพื่อช่วยให้เด็กรู้จักเลือกตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา คิดสร้างสรรค์ เช่น การเล่นตามมุม การเล่นกลางแจ้ง ฯลฯ ใช้เวลาประมาณ ๔๐-๖๐ นาที
    ๔. กิจกรรมควรมีความสมดุลระหว่างกิจกรรมในห้องและนอกห้อง กิจกรรมที่ใช้กล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก กิจกรรมที่เป็นรายบุคคล กลุ่มย่อยและกลุ่มใหญ่ กิจกรรมที่เด็กเป็นผู้ริเริ่มและผู้สอน หรือผู้จัดประสบการณ์เป็นผู้ริเริ่ม และกิจกรรมที่ใช้กำลังและไม่ใช้กำลัง จัดให้ครบทุกประเภท ทั้งนี้ กิจกรรมที่ต้องออกกำลังกายควรจัดสลับกับกิจกรรมที่ไม่ต้องออกกำลังมากนัก เพื่อเด็กจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป
  • ๓.๒  ขอบข่ายของกิจกรรมประจำวัน

    การเลือกกิจกรรมที่จะนำมาจัดในแต่ละวันสามารถจัดได้หลายรูปแบบ ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมในการนำไปใช้ของแต่ละหน่วยงานและสภาพชุมชน ที่สำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงการจัดกิจกรรมให้ครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน ดังต่อไปนี้
    ๑. การพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ เป็นการพัฒนาความแข็งแรง การทรงตัว การยืดหยุ่น ความคล่องแคล่วในการใช้อวัยวะต่างๆ และจังหวะการเคลื่อนไหวในการใช้กล้ามเนื้อใหญ่ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นอิสระกลางแจ้ง เล่นเครื่องเล่นสนาม ปีนป่ายเล่นอิสระ เคลื่อนไหวร่างกายตามจังหวะดนตรี
    ๒. การพัฒนากล้ามเนื้อเล็ก เป็นการพัฒนาความแข็งแรงของกล้ามเนื้อเล็ก กล้ามเนื้อมือ-นิ้วมือ การประสานสัมพันธ์ระหว่างกล้ามเนื้อมือและระบบประสาทตามือได้อย่างคล่องแคล่วและประสานสัมพันธ์กัน โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้เล่นเครื่องเล่นสัมผัส เล่นเกมการศึกษา ฝึกช่วยเหลือตนเองในการแต่งกาย หยิบจับช้อนส้อม และใช้วัสดุอุปกรณ์ศิลปะ เช่น สีเทียน กรรไกร พู่กัน ดินเหนียว ฯลฯ
    ๓. การพัฒนาอารมณ์ จิตใจ และปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม เป็นการปลูกฝังให้เด็กมีความรู้สึกที่ดีต่อตนเองและผู้อื่น มีความเชื่อมั่น กล้าแสดงออก มีวินัย รับผิดชอบ ซื่อสัตย์ ประหยัด เมตตา กรุณา เอื้อเฟื้อ แบ่งปัน มีมารยาทและปฏิบัติตนตามวัฒนธรรมไทยและศาสนาที่นับถือโดยจัดกิจกรรมต่างๆ ผ่านการเล่นให้เด็กได้มีโอกาสตัดสินใจเลือก ได้รับการตอบสนองความต้องการ ได้ฝึกปฏิบัติโดยสอดแทรกคุณธรรม จริยธรรม อย่างต่อเนื่อง
    ๔. การพัฒนาสังคมนิสัย เป็นการพัฒนาให้เด็กมีลักษณะนิสัยที่ดี แสดงออกอย่างเหมาะสมและอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ช่วยเหลือตนเองในการทำกิจวัตรประจำวัน มีนิสัยรักการทำงาน ระมัดระวังความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่น โดยรวมทั้งระมัดระวังอันตรายจากคนแปลกหน้า ให้เด็กได้ปฏิบัติกิจวัตรประจำวันอย่างสม่ำเสมอ รับประทานอาหาร พักผ่อนนอนหลับ ขับถ่าย ทำความสะอาดร่างกาย เล่นและทำงานร่วมกับผู้อื่น ปฏิบัติตามกฎกติกาข้อตกลงของส่วนรวม เก็บของเข้าที่เมื่อเล่นหรือทำงานเสร็จ
    ๕. การพัฒนาการคิด เป็นการพัฒนาให้เด็กมีความสามารถในการคิดแก้ปัญหาความคิดรวบยอด และคิดเชิงเหตุผลทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ โดยจัดกิจกรรมให้เด็กได้สนทนาอภิปรายแลกเปลี่ยนความคิดเห็น เชิญวิทยากรมาพูดคุยกับเด็ก ศึกษานอกสถานที่ เล่นเกมการศึกษา ฝึกการแก้ปัญหาในชีวิตประจำวัน ฝึกออกแบบและสร้างขึ้นงาน และทำกิจกรรมทั้งเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มใหญ่ และรายบุคคล
    ๖. การพัฒนาภาษา เป็นการพัฒนาให้เด็กใช้ภาษาสื่อสารถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิด ความรู้ความเข้าใจในสิ่งต่างๆ ที่เด็กมีประสบการณ์โดยสามารถตั้งคำถามในสิ่งที่สงสัยใคร่รู้ จัดกิจกรรมทางภาษาให้มีความหลากหลายในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการเรียนรู้ มุ่งปลูกฝังให้เด็กได้กล้าแสดงออกในการฟัง พูด อ่าน เขียน มีนิสัยรักการอ่าน และบุคคลแวดล้อมต้องเป็นแบบอย่างที่ดีในการใช้ภาษา ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงหลักการจัดกิจกรรมทางภาษาที่เหมาะสมกับเด็กเป็นสำคัญ

    ๗. การส่งเสริมจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ เป็นการส่งเสริมให้เด็กมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ได้ถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกและเห็นความสวยงามของสิ่งต่างๆ โดยจัดกิจกรรมศิลปะสร้างสรรค์ ดนตรี การเคลื่อนไหวและจังหวะตามจินตนาการ ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ อย่างอิสระ เล่นบทบาทสมมติ เล่นน้ำ เล่นทราย เล่นบล็อก และเล่นก่อสร้าง
    กำหนดเวลาของแต่ละกิจกรรมเพื่อจัดทำตารางกิจกรรมประจำวันสามารถดำเนินการได้หลากหลายรูปแบบ ขึ้นกับความเหมาะสม ประเด็นสำคัญผู้สอนต้องคำนึงถึงความครอบคลุมพัฒนาการทุกด้าน ข้อเสนอแนะเพื่อพิจารณาโดยประมาณซึ่งสามารถยืดหยุดได้ ดังนี้
     
    รายการพัฒนา อายุ ๓ ปี
    ชั่วโมง :  วัน
    อายุ ๔ ปี
    ชั่วโมง :  วัน
    อายุ ๕ ปี
    ชั่วโมง :  วัน
    ๑.การพัฒนาทักษะพื้นฐานในชีวิตประจำวัน
    (รวมทั้งการช่วยตนเองในการแต่งกายรับประทานอาหาร สุขอนามัยและการนอนพักผ่อน)
    ๒  ๑ / ๒ ๒  ๑ / ๔
    ๒.การเล่นเสรี
    ๓.การคิดสร้างสรรค์
    ๔.กิจกรรมด้านสังคม ๑ / ๒ ๓ / ๔
    ๕.กิจกรรมพัฒนากล้ามเนื้อใหญ่ ๓ / ๔ ๓ / ๔ ๓ / ๔
    ๖.กิจกรรมที่มีการวางแผนโดยผู้สอน ๓ / ๔
    เวลาโดยประมาณ

    สำหรับทักษะพื้นฐานในชีวิตประจำวัน อายุ ๓ ขวบจะใช้เวลามากกว่า เมื่ออายุมากขึ้นเวลาจะลดลง เพราะเด็กสามารถช่วยเหลือตนเองได้ อายุ ๓ ขวบมีกิจกรรมทางสังคมที่ต้องฝึกการอยู่ร่วมกับผู้อื่นใช้เวลาน้อยลง

    ตารางกิจกรรมประจำวันของโรงเรียน

    เวลา กิจกรรม หมายเหตุ
    ๐๗.๐๐      ๐๘.๐๐  น. -รับเด็ก  
    ๐๘.๐๐    - ๐๘.๒๐ น. -เคารพธงชาติ  
     ๐๘.๒๐   - ๐๘.๔๐ น. -อบรม / นั่งสมาธิ / ตรวจสุขภาพ  
    ๐๘.๔๐    - ๐๙.๐๐ น. -กิจกรรมเคลื่อนไหวและจังหวะ  
    ๐๙.๐๐   - ๑๐.๐๐ น. -กิจกรรมสร้างสรรค์ และเล่นตามมุม  
    ๑๐.๐๐   - ๑๐.๑๐  น. -พัก ( ของว่าง )  
    ๑๐.๑๐    - ๑๐.๓๐  น. -กิจกรรมเสริมประสบการณ์  
    ๑๐.๓๐    - ๑๑.๒๐ น. -กิจกรรมกลางแจ้ง  
    ๑๑.๒๐    - ๑๒.๐๐ น. -พักรับประทานอาหาร  
    ๑๒.๐๐   - ๑๔.๐๐ น. -นอนพักผ่อน  
    ๑๔.๐๐   - ๑๔.๒๐น. -เก็บที่นอน / ล้างหน้า / ดื่มนม / แต่งตัว  
    ๑๔.๒๐   - ๑๔.๔๐ น. -เกมการศึกษา  
    ๑๔.๔๐    - ๑๕.๐๐ น. -เตรียมตัวกลับบ้าน